ตำนานเพลงที่ไม่มีวันตาย : Elvis Preley

ย้อนเรื่องราวครั้งวันวาน ในยุคสมัยของคุณ พาสู่ดนตรีที่เป็นตำนานและอยู่ในใจของใครหลายคน ทุกเรื่องราว ทุกบทเพลงแห่งความทรงจำ นำมารวมไว้ในที่นี้ ให้ได้ติดตามกัน

กว่าจะมาเป็น Rock and Roll

ไปพบกับเรื่องราว เสียงเพลงแห่งตำนานดนตรี Rock and Roll ทุกเรื่องราว ความเป็นมา ให้หวลรำลึก ตำนานเพลง จากคนดำสู่ คนขาว หลากหลายดนตรี หลายสายพันธ์ดนตรี ไม่มีวันลืม

ดนตรียุคใหม่แห่งอิเล็คทริค และเสียงสังเคราะห์สู่ตำนาน

ยุคทศวรรษสู่โลกดนตรีอิเล็คทริค เสียงสังเคราะห์สู่ดนตรียุคใหม่อย่างสมบูรณ์ ทุกเรื่องราวดนตรี และความยิ่งใหญ่แห่งตำนานเพลงที่ไม่มีวันตาย รอคุณอยู่ ณ ที่นี้ โลกของบทเพลงแห่งตำนาน

ยุคสมัยการวางรากฐานดนตรีที่มั่นคง

กระแสดนตรีจากเกาะอังกฤษที่ถาโถมสังคมอเมริกันที่จดจำแห่งยุคสมัย The Beatles วง 4 เต่าทองผู้สร้างกระแสความนิยมไปทั่วโลก พบกับตำนานเพลงและเรื่องราวของพวกเขาเหล่านี้ได้ที่นี่

คันทรีย์ร็อคที่มีอิทธิพลแห่งยุคสมัย

บทเพลง The EAGLES สร้างตำนานเพลงแห่งยุคสมัย พบกับเรื่องราวของพวกเขาเหล่านี้และเรื่องราวในยุคสมัยมากมาย รอคุณอยู่ ณ ที่แห่งนี้

Saturday, October 22, 2011

Rockability : ต้นกำเนิดเพลงร็อค

  ดนตรี Rockability ถือว่าเป็นต้นกำเนิดของดนตรี Rock & Roll ก็ว่าได้ มีที่มาจากแถบทางตอนใต้ของอเมริกา เกิดขึ้นในช่วงกลางทศวรรษที่ 50 โดยชื่อเรียกดนตรีแบบ  Rockability หมายถึง ร็อคแบบของคนภูเขา หรือ ฮิลล์บิลลี่
    ซึ่งเป็นเพลงสายหนึ่งของดนตรีคันทรี่ย์อีกลักษณะหนึ่ง โดยมีรูปแบบอย่างเพลงบูลส์กราสที่โดดเด่นมาก เป็นการผสมผสานดนตรีที่ลงตัว  นักดนตรีที่มีชื่อในแนวดนตรีแบบ Rockability อย่าง Bill Haley , Scotty Moore , และ Eddie Cochran เสียงกีตาร์จะส่งเสียงสำเนียงน่าระทึกใจ เบส กลองเล่นเสียงกระชับ ให้จังหวะเข้ากันได้ดี ส่วนเสียงร้องของนักร้องในแนวนี้ จะฟังคล้าย ๆ กับไม่ตั้งใจร้อง ร้องเร็ว และออกเสียงแบบแปลก ๆ มีทั้งกรีดเสียงร้องตะกุกตะกัก บางทีทำเสียงแบบติดอ่าง อย่างเช่น Elvis Presley , Jerry Lee Lewis และ Carl Perkins นับว่าเป็นสิลปินแบบ Rockability ที่มีชื่อเสียงเป็นอย่างมาก

ดนตรีแบบ Gospel : ความรักและศรัทธาในเพลง

     ดนตรีแบบ Gospel เป็นของคนดำแบบเดียวกับดนตรีบูลส์ในสายอื่น ๆ ที่พัฒนารูปแบบมาจากรากฐานบูลส์แบบดั้งเดิม แต่ดนตรี Gospel  ได้รวมความศรัทธาทางศาสนาคริสต์ของคนดำที่เคร่งศาสนา ที่ถูกถ่ายทอดออกมาในรูปแบบเพลงที่มีเนื้อหาในการบูชาพระเจ้าเป็นหลัก
           อาจกล่าวได้ว่าดนตรีแบบ Gospel เป็นดนตรีของคนดำที่เคร่งศาสนา
เดิมทีดนตรีแบบ Gospel เล่นกันอยู่ในวงจำกัด กลุ่มเล็ก ๆ ในชนบท นักร้องเพลงแนวนี้มักร้องเล่นเพลงกันในโบสถ์ของคนผิวดำ และคณะนักร้องประสานเสียงของโบสถ์ หรือมักจะร้องเล่นกันแบบสาธารณะกุศล พวกเขาเชื่อในพระเจ้า เพลงแบบ Gospel  จึงเสมือนดนตรีทางศาสนาของคนผิวดำโดยเฉพาะ  ต่อมาเพลงแบบนี้ได้แพร่หลายตามการสอนศาสนาในที่ต่าง ๆ ได้ขยายวงกว้างมากขึ้น ได้ขยายความนิยมไปสู่คนขาวด้วย จนกระทั่งได้กลายเป็นสายหนึ่งของดนตรีอีกประเภทหนึ่งที่แตกแขนงมาจากบูลส์ในแบบดั้งเดิม  นักร้องนักดนตรีผิวดำที่โด่งดังในแนวเพลงแบบ Gospel อาทิ Little Richard , Sam Cooke , Clyde McPhatter (เป็นวง Driffersในเวลาต่อมา ) Aretha Frankin เป็นต้น
นอกจากนี้ยังมีนักดนตรีผิวขาวก็ร้องเล่นเพลงแบบ Gospel เช่นกัน แต่อาจจะมีรูปแบบที่แตกต่างกันไป ซึ่งมักจะร้องประสานเสียงในคีย์ที่ต่างระดับกัน มีการจัดระดับเสียงและออกสำเนียงเสียงที่เป็นระเบียบกว่า คณะดนตรีผิวขาวที่มีชื่อเสียงในยุคนั้น เช่น คณะ The Brown's Ferry Four , The Blackwood Brothers และวง The Statesmen

Friday, October 21, 2011

จุดเริ่มต้นดนตรี Jazz

              เพลงบลูส์ ถือเป็นรากเหง้าของดนตรีคนผิวดำ เกิดขึ้นในดินแดนอเมริกันชน เกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกับดนตรีลูกทุ่งอเมริกันที่มีมาก่อนแล้ว แต่ดูเหมือนว่า เพลงบลูส์ที่มีถิ่นฐานจากคนผิวดำในอเมริกันภาคใต้ จะได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นในหมู่คนผิวขาว เมื่อเพลง Blue ได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้น กลุ่มนักดนตรีคนผิวดำส่วนหนึ่ง หันไปหาวิธีการเล่นดนตรีแบบถิ่นกำเนิดในแอฟริกา 
          โดยใช้เครื่องเคาะจังหวะ มีนักร้องทั้งชายและหญิง ร้องในแบบที่สืบทอดกันมาโดยสายเลือดของพื้นเมืองแอฟริกัน ดนตรีในแบบนี้ฟังดูมีความชีวิต ชีวา มากกว่าความหดหู่แบบบลูส์ดั้งเดิม ซึ่งเกิดขึ้นในราวปี ค.ศ. 1895 เรียกกันว่า "Ragtime (แร็กไทม์) จนกระทั่ง้มื่อเวลาผ่านไป ในศตวรรษที่ 20 ดนตรีแร็กไทม์ถูกปรับรูปแบบสู่ดนตรีใหม่ โดยกลุ่มนักดนตรีที่ก่อตัวขึ้นใน "นิวออร์ลีนส์" 
                    ดนตรีชนิดนี้ที่ต่อมาเรียกว่า "Jazz"  ซึ่งดนตรีแจ๊ส เกิดขึ้นโดยการผสมวัฒนธรรมทางดนตรีแบบแอฟริกัน รวมเข้ากับ วัฒนธรรมดนตรีคนผิวขาวในนิวออร์ลีนส์ ซึ่งเป็นเมืองที่มีโรงเต้นรำและคลับมากมาย ในเวลาไม่นานเพลงแจ๊สก็กลายมาเป็นที่นิยมโดยทั่วไปและสร้างธุรกิจที่เติบโตให้กับนักดนตรีผิวขาวและผิวดำมากมาย และยังคงกระจายออกไปตามเมืองใหญ่ ๆ อย่างชิคาโก และ นิวยอร์ก อีกด้วย
เพลงแจ๊สนั้น มีเส้นทางการเติบโตแตกออกเป็นสายต่าง ๆ เช่น จาก "New Orleans Jazz" ก็ได้แตกสายออกไปอีก เป็น "Dixeland" เป็น "Chicago" เป็น "Swing" เป็น "Big Band" เป็น "Bebop" และเติบโตมาเรื่อย ๆ ซึ่งกว่าจะมาเป็นดนตรีแจ๊สที่ใช้ร้องเล่นกันอยู่ทุกวันนี้ มันได้ถูกปรับเปลี่ยนรูปแบบ เปลี่ยนวิธีการเล่นมามากมายแล้ว
นักดนตรีแจ๊สผู้มีชื่อเสียงทั้งคนผิวขาวและผิวดำ นั้นมีมากมาย อาทิเช่น "Count Basie" , "Duke Ellington" , "louis Armstrong" , "Benny Goodman" และ "Billie Holiday" เป็นต้น .....

ลูกทุ่งตะวันตก คาวบอยซอง (Cowboy Song)

                  ในช่วงทศวรรษที่ 40 - 50 เพลงบลูส์ยังคงเป็นหัวใจหลักที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและวัฒนาการทางกระแสดนตรี แต่ตลาดดนตรีส่วนใหญ่เป็นของคนผิวขาว ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง ถึงแม้วิทยาการจะทำให้สหรัฐอเมริกาดูเจริญขึ้น แต่ขีดศีลธรรมในใจยังไม่ดีขึ้นในหลาย ๆ ภูมิภาคของประเทศ การกีดกันสีผิวและเกลียดชังคนผิวสียังคงดำเนินไปเรื่อย ๆ แต่สิ่งหนึ่งที่คนขาวไม่อาจปฏิเสธก็คือการขโมยสมบัติของคนดำมาใช้นั่นคือ "เพลงบลูส์"  ด้วยเหตุนี้ทำให้คนขาวพยายามที่จะนำเพลงบลูส์ มาประยุกต์ ดัดแปลงให้เป็นของตนเอง ซึ่งยุคแรก ๆ ก็จะมีนักร้อง นักแต่งเพลงที่มีชื่อเสียงหลาย ๆ คน อย่างเช่น Hank William (แฮงค์  วิลเลี่ ยมส์) เป็นนักร้อง นักแต่งเพลงผิวขาวจากอลาบามา ซึ่งโด่ง ดังขึ้นมาด้วยเพลงแบบ "Honkytonk" (ฮองกีย์ทองค์)

                      แฮงค์  วิลเลี่ยมส์  เดินตามรอย "จิมมี่  ร็อดเจอร์" ผู้บุกเบิกสร้างดนตรีบลูส์ของคนขาวขึ้น  จนกลายเป็นเพลงคันทรีย์ที่มีรูปแบบแปลกไปจากเดิมที่คนขาวเคยเล่นกัน  " ฮองกีย์ทองค์ " เป็นรูปแบบเพลงคันทรี่ย์ ที่มีรูปแบบง่าย ๆ ที่ไม่เหมือนคันทรี่แบนด์ทั่วไป  ดนตรีแบบนี้มักเป็นการเล่าเรื่องจากชีวิตจริง หรือบทโคลงกลอนที่จดจำกันมา  แฮงค์  วิลเลี่ยมส์  เขียนเพลงประเภทนี้ไว้มากมาย ที่ดัง ๆ  อาทิ เช่น " Yourge Cheatin Heart " " I'm So Lonesome I Could Cry " " C old Cold Heart  " แฮงค์  วิลเลี่ยมส์  ได้ทำให้เพลงแบบ ฮองกีย์ทองค์ โด่งดังขึ้น จนกลายเป็นเพลงที่เปิดฟังกันอย่างแพร่หลายในช่วงนั้น และดูจะเป็นนักดนตรีคนเดียวที่ได้รับความนิยมสูงสุดในช่วงทศวรรษที่ 40  แต่แล้วเมื่ออายุเพียง 30 ปี แฮงค์  วิลเลี่ยมส์   ก็ต้องลาจากโลกนีไป เพราะการเสพยาเกินขนาด หากแต่ชื่อเสียงของเขาก็ยังคงเป็นที่จดจำกันจนทุกวันนี้

นอกจากแฮงค์   วิลเลี่ยมแล้ว  ยังมีนักร้องประเภทฮองกีท้องค์ในยุคเดียวกันอีกหลายคน อาทิเช่น Ernest Tubb , Web Pierce , Lefty Frizzell  และมีนักร้องหญิง Kitt Wells ที่ร้องเพลงในสไตล์ของฮองกีท้องค์ด้วย  เพลงของ ฮองกีท้องค์ในยุคนี้เนื้อหาออกมาหลาย ๆ แนว ล้วนเป็นการแสดงออกถึงการใช้ชีวิตของผู้ชายเป็นส่นใหญ่ ทั้งการเดินทาง การต่อสู้ผจญภัย หรือการระหกระเหิน เช่นเพลง Slipping Around , Wild Side of Life  หรือเพลงแบบสำมะเลเทเมา There Stands the Glass และเพลงของคนที่อ้างว้างว้าเหว่ Walking the Floor over You ด้านภาพพจน์ของนักดนตรีแบบฮองกีท้องค์ มักถูกสร้างภาพเป็นพวกนักแสวงโชค ไม่มีหลัก ไม่มีฐานแน่นอน ไม่มีสตางค์  ชีวิตไม่มีแก่นสาร ชีวิตจมปลักกับบาร์ เหล้า ปราศจากเพื่อน ปราศจากความรัก วัน ๆ ไม่มีอะไรดีไปกว่า การดื่มและพร่ำเพ้อแต่เรื่องไร้สาระ เปรียบไปก็เหมือนกับคนจรนั่นเอง
ในช่วงแรก ๆ ดนตรีฮองกีท้องค์ มักจะร้องเล่นโดยนักดนตรีเพียงคนเดียว กับอคูสติกกีตาร์เช่นเดียวกับการเกิดขึ้นของเพลงบูลส์ ในยุคแรก ๆ แต่ต่อมาได้พัฒนาเล่นเป็นวง มีการนำ ฟิลเดิล (Fiddle) หรือ ซอฝรั่ง มาใช้ด้วย โดยมีริธึ่มกีตาร์ และเบสคอยเป็นแบ็คอัพให้  กระทั่งต่อมาเครื่องดนตรีไฟฟ้าถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลาย นักดนตรีฮองกีท้องค์จึงได้นำมาใช้กันอย่างแพร่หลาย นักร้องเพลงแบบฮองกีท้องค์รุ่นต่อมา ที่ทำเพลงแนวนี้ให้เป็นที่นิยมและโด่งดังในยุค ทศวรรษที่ 50 คือ Johnny Horton
ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น ทางด้านตลาดเพลงคันทรี่แท้ ๆ เองก็ยังคงดำเนินไปอย่างปกติ ศิลปินยังคงทำผลงานออกมาในกลุ่มผู้ฟังของตนเอง นักร้องคันทรี่สองคน ที่มีคุณูปการต่อวงการเพลงคันทรี่ คือ Roy Acuff , และ Hank Snow ทั้งสองโดดเด่นขึ้นมาโดยการนำเสนอแนวทางใหม่ให้กับเพลงคันทรี่ พวกเขาใช้บทเพลงในที่พูดถึงความหวังในเชิงคำสอนของพระเจ้า ทำให้เพลงคันทรี่มีเนื้อหาสาระที่เป็นประโยชน์ ขึ้นบ้างจากเดิมที่เป็นเพียงเพลงเพื่อชีวิตและสังคมแบบชาวชนบทเท่านั้น  Acuff มีเพลงดังอย่าง Wabash Cannonball , Freight Train Blues , ส่วนของ Snow ก็มีเพลง I'm Moving On , The Golden Rocket เพลงเหล่านี้ยังคงทรงอืทธิพลกับวงการของเพลงคันทรี่ในยุคต่อ ๆมาอีกด้วย ทั่ง Acuff และ Snow เป็นเสมือนผู้จุดประกายเพลงคันทรี่ให้จรัสแสงชึ้น และยังเป็นผู้บุกเบิกเพลงแนวเพลงคันทรี่ให้เป็นที่นิยมในวงกว้าง จนมีตลาดเพลงเฉพาะของตัวเองจนทุกวันนี้  ( เพลงคันทรี่เดิม เป็นเพลงที่ข้ามน้ำ ข้ามทะเลมาจากอังกฤษพร้อมกับกลุ่มชนชั้นล่าง ที่บุกเบิกที่ขึ้นมาในแผ่นดินอเมริกาตอนเหนือ เมื่อเดินทางรอนแรม ข้ามฝั่งมาหาดินแดนสำหรับปักฐานเพาะปลูกในฝั่งตะวันตก พวกเขาได้ใช้ดนตรีที่ติดตัวมาร้องเล่นกันด้วยเครื่องดนตรีพื้นบ้านแบบง่าย ๆ อย่าง ซอ , ฮาร์พ , แอ็คโคเดียน , และเครื่องเคาะที่ใช้ Washboard หรือ กระดานซักผ้า ต่อมาเมื่อเพลงแบบนี้แพร่หลายขึ้น จึงมีการรวมกลุ่มเป็นวงและมีกีตาร์เข้ามาช่วย จนกระทั่งประยุกต์มาเป็นเพลงรูปแบบต่าง ๆ จนทุกวันนี้

BLUEGRASS : ดนตรีผสม คันทรี่ บลูส์ และ แจ๊ส

               ตั้งแต่กลุ่มดนตรีจากฝั่งตะวันตกของสหรัฐอเมริกา ได้รับความนิยมอย่างสูงในช่วงทศวรรษที่ 30-40 ทำให้ตลาดทางฝั่งตะวันตกเริ่มเป็นที่สนใจ มีดนตรีอีกประเภทหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นมาจากดินแดนทางแถบนั้นเรียกว่า Bluegrass และได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ อย่างรวดเร็ว 
                ดนตรี Bluegrass  สืบเชื้อสายมาจากดนตรีสตริงแบนด์ของกลุ่มคนที่เรียกว่า Hillbilly หรือคนภูเขา  เป็นกลุ่มคนที่มีชีวิตความเป็นอยู่แบบเรียบง่าย และมีวัฒนธรรมแบบคนชนบท
 พวกเขามีรูปแบบดนตรีของตนเองและเริ่มขยายไปสู่โลกภายนอก จนเป็นที่รู้จักกันตั้งแต่ทศวรรษที่ 20 - 30 ดนตรีแบบ Hillbilly หรือคนภูเขา เติบโตมาจากฐานดั้งเดิม คือเพลงคันทรี่ ที่มากับพื้นถิ่นของคนที่อพยพมาอยู่ในแผ่นดินอเมริกาตั้งแต่รุ่นแรก ๆ และมีความใกล้เคียงกับรากเดิมนั้นมากที่สุด   เดิททีนั้น  มีการใช้เครื่องดนตรีเพียงสามชิ้น อย่างซอฝรั่ง แบนโจ และกีตาร์ ต่อมาได้แตกสายออกมาเป็นบลูส์กราสแล้วได้เพิ่ม เอาเบส และ แมนโดลิน เข้ามาใช้ด้วย ดนตรีแบบนี้เน้นไปที่น้ำเสียงการร้องและลูกเล่นการใช้นิ้วที่ฉับไวในการเล่นเครื่องดนตรี ที่สำคัญดนตรีแบบบลูส์กราส จะหลีกเลี่ยงการใช้เครื่องดนตรีไฟฟ้าทั้งหมด เครื่องดนตรีทุกชิ้นจะให้เสียงจริงของมันเอง แม้แต่เบส ก็ต้องใช้ดับเบิ้ลเบส เป็นการพยายามให้มีความใกล้ชิดกับเสียงธรรมชาติมากที่สุด เนื้อเพลงจะเป็นประเภทโคลงกลอน และเรื่องราวเก่า ๆ ทั้งยังมีเนื้อหาเกี่ยวกับความเชื่อเก่า ๆ ทางด้านศาสนา เพลงบูลส์กราสยังเป็นการทำให้ผู้คนได้เริ่มหันกลับไปสนใจบรรยากาสของเพลงแบบคันทรี่ย์ และบลูส์แบบเก่า ๆ ได้อีกเช่นกัน
      ดนตรีบลูส์กราส เกิดการผสมผสานอิทธิพลดนตรีหลาย ๆ แบบ ทั้งคันทรีย์ , บลูส์ และแจ๊ส หรืออาจพูดได้ว่าเพลงแบบบลูส์กราส ก็คือ การเอาเพลงดัั้งเดิมมาใส่จังหวะจะโคนให้มีความเร็วและกระชับไวขึ้น วงดนตรีประเภทบลูส์กราสที่ได้รับความนิยมอย่างมากก็คือ The Stanley Brothers และ  Bill Monroe and Hits Bluegrass Boys โดนเฉพาะอย่างยิ่ง บิลล์ มอนโร นักร้องและนักแมนโดลินนั้น สามารถทำให้การใช้สำเนียงการร้องของเขากลายเป็นที่นิยมและกลายเป็นต้นแบบให้กับวงดนตรีคณะอื่น ๆ นำไปใช้ นั่นคือ การร้องที่ใช้เสียงด้นสูง ซึ่งเรียกว่าเสียงแบบ Mountain Hightenor ซึ่งเป็นเอกลักษณ์หนึ่งที่สร้างบุคลิกให้กับเพลงแบบบลูส์กราส  Earn Scruggs เป็นนักดนตรีประเภทบลูส์กราสที่สร้างชื่ออีกคน เขาถนัดเล่นเพลงในสไตลเล่นเบนโจที่ว่องไวเป็นพิเศษ ซึ่งเขาเองก็เป็นนักดนตรีในสไตล์ Country & Western ที่มีชื่อเสียงอีกคน
ดนตรีบูลกำเนิดขึ้นในช่วงปลายทศวรรษที่ 40 จนกระทั่งถึงทศวรรษที่ 50  กล่าวได้ว่าดนตรีแบบบลูส์กราส มีส่วนอย่างยิ่งต่อการเดิดกระแสดนตรีแบบร็อค แอนโรล์ขึ้น เป็นการวางรากฐานให้กับดนตรียุคต่อ ๆ มา ที่เป็นแนวเพลงแบบใช้จังหวะกระชับว่องไว วงดนตรีที่ได้รับอิทธิพลดนตรีแนวนี้ อย่างศิลปินคู่ดูโอที่มีชื่อเสียงยุค 60 อย่าง The Everly Brothers เป็นวงที่ได้นำแนวเพลงแบบบลูส์กราสมาใช้ หรืองานเพลงยุคแรก ๆ ของ เอลวิส เพรสลี่  ก็ได้ Bill Black มาเล่นเบสแบบแปดห้องตามรูปแบบของบลูส์กราสที่กำหนดไว้ในเพลงของบิลล์ มอนโร มาก่อนหน้ายุคของเขาประมาณเจ็ดถึงแปดปี อีกทั้งการเล่นแบบเป็นกลุ่มและการร้องเสียงคับคอในรูปแบบบลูส์กราสยังถูกนำมาใช้กับเพลงในยุคสมัยของร็อคแอนโรลกันอย่างแพร่หลายในเวลาต่อมา

Rhythm & Blues (R&B) : เพลงบลูส์ที่จับจังหวะใส่ให้มีชีวิตชีวา

           เพลงแบบ Rhythm & Blues ถือกำเนิดขึ้นราวกลางยุคทศวรรษที่ 40 ซึ่งมาจากนักดนตรีบลูส์ผิวดำ ที่คิดทำเพลงของเขาให้มีจังหวะสนุกสนานขึ้น ซึ่งที่จริงแล้วมันมีรากฐานมาจากดนตรีแจ๊สที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้

        และเมื่อกระแสของดนตรีคนผิวดำผ่านช่วงยุคสมัยที่มาใช้เครื่องดนตรีสมัยใหม่มากขึ้น โดยเฉพาะเครื่องดนตรีไฟฟ้าต่าง ๆ  นักดนตรีกลุ่มนี้ที่มีชื่อเสียงอาทิ Louis Jardan , Ray Charles , และ Fats Domino พวกเขามีส่วนสำคัญในการวางรูปแบบดนตรีแนว Rhythm & Blues ให้มีจังหวะที่กระชับและตายตัวเป็นแนวทางดนตรีอีกสายหนึ่งที่ได้รับความนิยมมาจนทุกวันนี้

ยุค 80's : ตอน 2 ดนตรีสีสรรค์และจังหวะ

          ในยุค 80 นี้ได้เกิดดนตรีในแนวนิวเวฟ  ที่เป็นดนตรีที่ได้รับอิทธิพลของดนตรีพังค์ในยุคที่แล้วมาปรับปรุงลดความรุนแรงของเนื้อหาลง มีรายละเอียดด้านดนตรีมากขึ้น อย่างเช่นวง Talking Heads , Devo , The Pretenders เป็นต้น

         นอกจากนี้ยังมีวง Van Helen ที่ได้้ทำให้เกิดคำว่า Guitar Hero ขึ้นจากเทคนิคการเล่นกีตาร์อันพิศดารของ Eddie Van Halen  ซึ่งวงนี้ยังเป็นต้นแบบของวง Hair Band หรือ Hair Metal ในยุคต่อมาเช่นวง Motley Crue , Bon Jovi , Ratt ซึ่งเหตุที่เรียกว่า  Hair Band หรือ Hair Metal เพราะว่าวงประเภทนี้ ทุกคนในวงต่างไว้ผมยาวสลวย ถือว่าในยุคนั้นวงประเภทนี้ได้รับความนิยมจากผู้ฟังเป็นอย่างมาก ส่วนหนึ่งมาจาก MTV ซึ่งเพิ่งเปิดตัวในปี 1981 ได้มองเห็นว่าวงดนตรีประเภทนี้ น่าจะสามารถดึงดูดความสนใจจากผู้ฟังได้เป็นอย่างดีโดยเฉพาะเพศหญิง ด้วยรูปร่างหน้าตาของตัวศิลปินเองและท่วงทำนองเพลงที่ติดหูง่าย  ดังนั้น MTV จึงกระหน่ำเปิดมิวสิควีดีโอของวง  Hair Band และได้รับการตอบรับจากผู้ชมเป็นอย่างดี
       
 ดนตรีประเภท Instrumental Rock หรือจะเรียกว่าเป็นแนว Guitar Hero ก็ได้ เริ่มจะได้รับความนิยมขึ้นมา ดนตรีประเภทนี้เป็นดนตรีที่ใช้การบรรเลงของเครื่องดนตรีเพียงอย่างเดียวแทบจะไม่มีเพลงที่มีเนื้อร้องเลย และมีกีตาร์เป็นตัวชูโรง ศิลปินนักดนตรีที่มีชื่อเสียงในแนวนี้ได้แก่ Joe Satriani , George Lynch , Yngwie Malmsteen , Steve Morse เป็นต้น
         

ในยุคนี้ ได้มีวงดนตรีที่เป็นทางเลือก คือดนตรีแบบ  ALTERNATIVE ROCK หรือเรียกว่า อินดี้ เป็นเพลงที่ทำดนตรี เสนอขายเอง ทำเอง เล่นเอง ขายเอง ไม่ต้องพึ่งค่ายเพลงใหญ่ ๆ ดนตรีในแบบอินดี้นี้  เริ่มถือกำเนิดขึ้นโดยเป็นการทำดนตรีแบบง่าย ๆ อัดจากโรงรถบ้าง ห้องนอนบ้าง ถึงแม้ว่าคุณภาพด้านโปรดักชั่นอาจไม่ดีนัก แต่สิ่งที่ทดแทนกลับมาคือ ความสดใหม่ ความดิบของซาวด์ บางคนเรียกดนตรีประเภทนี้ว่า Garage Rock บางคนเรียกว่า Collage Rock ไม่ว่าจะเรียกอะไรก็แล้วแต่ วงดนตรีประเภทนี้ได้สร้างสรรค์ซาวด์แบบใหม่ ๆ ซึ่งมีอิทธิพลต่อวงดนตรีในยุคปัจจุบันเป็นอย่างมาก อย่างเช่นวง R.E.M., The Pixies , The Smiths , Sonic Youth , Joy Division , New Orders เป็นต้น

                      

ยุค 80's : ตอน 1 ดนตรีสีสรรค์และจังหวะ

         ในยุค  80  วงการเพลงได้เปลี่ยนจาก การแสดง Concert  การฟังจากรายการวิทยุ เปลี่ยนไปสู่โลกของโทรทัศน์ ที่สามารถแพร่ภาพให้ผู้ชมพร้อม ๆ กันได้ทั่วโลก ยุค 80 ในปี 1981 ได้เกิดขึ้น ของ MTV ทำให้รูปแบบการรับรู้สื่อทางด้านดนตรีหลากหลายขึ้น จากเดิมที่เคยฟังเพลงจากเสียงเพลง  MTV ได้ปรับเปลี่ยนการกระจายสื่อในรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า เคเบิลทีวี มิวสิคทีวี หรือ เอ็มทีวี ในประเทศอังกฤษ การเปลี่ยนจากยุคเทป แผ่นเสียง เป็น ซีดีเพลง มีความจุเพลงได้มากกว่าเดิม มี SONY WALKMANเกิดขึ้น สามารถฟังเพลงคนเดียวได้โดยไม่รบกวนใคร      มีมิวสิควิดีโอ ที่เป็นที่รู้จักมีชื่อเสียงนั่นคือ ของ ไมเคิล  แจ็คสัน ได้เกิดมิวสิค วิดีโอมากมาย รวมทั้ง มีมิวสิค , Concert , อันปลั๊ก อีกมากมายเป็นต้น 

เครื่องดนตรีอย่างคีย์บอร์ด และซินธิไซเซอร์เริ่มเข้ามามีบทบาทสำคัญต่อการทำเพลง ด้วยความสามารถที่สร้างเสียงดนตรีได้อย่างหลากหลาย วงการดนตรีเกิดการเปลี่ยนแปลงการทำดนตรี มีการใช้คอมพิวเตอร์เข้ามา มีอินเตอร์เน็ทใช้งานในยุคนี้
 ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นใหม่ ๆ นี้ ทำให้เป็นที่นิยมของนักดนตรีในยุคนี้ รวมทั้งอิทธิพลของดนตรีเต้นรำที่ถือเป็นกระแสหลักในตอนนั้นอย่างเพลงแนว Disco ที่ทำให้เกิด NIGHT CLUB BAR DISCO THECH  ที่เป็นสถานที่เต้นรำของวัยรุ่นในยุคนั้น ได้รับความนิยมและแพร่หลาย เป็นอย่างมาก ทำให้ซาวด์ของดนตรีร็อคเปลี่ยนไปจากเดิมมาก ทำให้ยุคนี้เป็นช่วงที่ดนตรีคึกคัก สนุกสนานและมีสีสันมากขึ้น   มีเพลงที่มีจังหวะสนุก เป็นเพลงฮิตติดหูมากมาย ๆ อย่างเช่น 

Shake, Shake, Shake) Shake Your Booty -KC & the Sunshine Band

• That's The Way I Like It - KC & the Sunshine Band

• YMCA - Village People

• Boogie Wonderland - Earth, Wind & Fire

• Car Wash - Rose Royce

• Disco Inferno - The Trammps

• Don't Leave Me This Way - Thelma Houston

• Funkytown - Lipps, Inc.

• Good Times - Chic

• Hot Stuff - Donna Summer

• I Will Survive - Gloria Gaynor

• Le Freak - Chic

• D.I.S.C.O. - Ottawan

• Hands Up (Give Me Your Heart) – Ottawan
                   

ยุค 70 ตอน 2 Rock Never Die

                   ดนตรีในแบบ Hard Rock  ถูกพัฒนามาเป็นดนตรีแบบ Heavy Metal แต่ละวงจะมี รีฟดนตรีแปลกใหม่ สร้างความโดดเด่นให้กับวง  เพลง ROCK  ที่เล่นจะมีความยาวมากกว่า 3 นาที ที่เป็นปกติ และมักจะเล่นเพลงให้มีเสียงดังมากขึ้น เล่นเพลงยาวขึ้น เสียงดนตรีออกมาสนั่นหวั่นไหว ทำให้เป็นที่ถูกใจวัยรุ่น และเป็นที่นิยมมากขึ้น กลุ่มนักดนตรีที่มีชื่อเสียง   เช่น วงครีม นำโดย Eric Clapton , Led Zeppelin,  Black Sabbath , AC/DC , Alice Cooper , ดนตรีแนวนี้จะมีเนื้อหาที่รุนแรง ต่อต้านพระเจ้า ลักษณะของนักดนตรีเป็นในรูปของศิลปินเดี่ยวที่มีให้เห็นมากขึ้น ซึ่งนักดนตรีเหล่านี้ แทบจะทำทุกอย่างด้วยตนเองเพียงคนเดียว ทั้งการแต่งเนื้อร้อง ทำนอง รวมทั้งเล่นเครื่องดนตรีเอง อย่างเช่น Tim Buckley , Bruce Springteen , Neil Young 

       




ดนตรีแนวโปรแกรสสีพ  ร็อค เป็นดนตรีแนวพวกร้อนวิชา เรียนทฤษีดนตรีมาอย่าลองดูผลงานดนตรีในรูปแปลกใหม่ของตน จะมีเทคนิคซับซ้อนมากมาย เพลงจะยาวมาก เนื้อหาใช้จินตนาการ อวกาศ เทพนิยาย และมีดนตรีแนวคลาสิค ปนด้วย วงแนวนี้เช่น คณะวง YES  มีเพลงฮิตติดชาร์ทเพลง เช่น Genesis


 ยุคนี้เกิดขึ้นของดนตรี Funk Rock   เป็นดนตรีของพวกวัยรุ่นที่เกเร ต่อต้านสังคม แต่งตัวแบบเจาะหู เข็มกลัดตัว แสดงออกถึงความเจ็บปวด เป็นพวกเด็กฐานะที่ไม่ดี  รูปแบบดนตรีแบบดุดัน ด่าราชินีอังกฤษ เล่นดนตรีแบบลุยโครมคราม มีวงต้นแบบ ทั้งเรื่องดนตรีและการใช้ชีวิตคือ The Sex Pistols   มีเพลงที่มีเนื้อหาที่รุนแรง อย่างเพลง God Save the Queen  ที่ สามารถขึ้นถึงอันดับหนึ่งในชาร์ทเพลงทางฝั่งของอังกฤษ  อัลบั้ม  Never Mind the Bollocks กลายเป็นอัลบั้มคลาสิคที่เหล่าชาวพังค์จำเป็นต้องมีไว้ครอบครอง  
นอกจากนี้ก็ยังมีวง THE WHO  เป็นต้น  ส่วนทางฝากฝั่งอเมริกา  ก็มีวงพังค์หลายวงที่ได้ถือกำเนิดขึ้นอาทิ เช่น The Ramones , Black Flag เป็นต้น 


ยุค 70 ตอน 1 Rock Never Die

    ในยุคสมัยนี้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านดนตรีอย่างมาก ยุคนี้เกิดนักกีตาร์ฮีโรหลายคน  ยุค 70 ดนตรี ROCK ได้เริ่มแตกแขนงไปหลายสาขา หลากหลายแนว เช่น แจ๊สร็อค  คันทรีย์ร็อค โฟล็คร็อค ฟังค์ร็อค โปรแกสสีพร็อค  เป็นต้น

 วงดนตรีชื่อดังหลายวง ในยุคนี้ต้องยุติวง หรือแตกออกไปเป็นวงอื่นหลากหลายวง และการเกิดขึ้นของอุปกรณ์อย่างคีย์บอร์ดและซินธิไซเซอร์ ทำให้โลกของการทำดนตรีเปลี่ยนแปลงไป เกิดเสียงดนตรีใหม่ ๆ ซาวด์เดิม ๆ ถูกนำมาประยุกต์จนเกิดดนตรีแนวใหม่ขึ้น

        ในยุค 70 นี้ดนตรีย้อนกลับไปสู่รากฐานเดิม เกิดแนวดนตรี แบบ Country Rock ที่ได้รับความนิยมมากขึ้น ด้วยดนตรีและเนื้อหาที่สามารถเข้าถึงได้ง่าย วงดังในยุคนั้น คือ The Eagles
ซึ่งกลุ่มนักฟังเพลงต่างรู้จักวงนี้เป็นอย่างดี

นอกจากนี้ในยุค 70 ยังมีดนตรีแนว เร็กเก้จากประเทศโลกที่สามอย่าง จาไมกา กลายเป็นดนตรีที่ได้รับความนิยมอย่างสูงสุดช่วงหนึ่ง ผู้ที่ถือว่าเป็นบิดาแห่งเร็กเก้คือ Bob Marley
        ต่อมาดนตรีเร็กเก้ถูกนำมาผสมกับดนตรีร็อคจนกลายเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของวงหลาย ๆ วงที่เล่นในแนวนี้ อย่างเช่นวง The Police



Share

Twitter Delicious Facebook Digg Stumbleupon Favorites More